top of page
Search
Writer's pictureUnderdogs.

Fit : สูญเสียไปเท่าไหร่แล้วกับคำว่ารถติด

Updated: Dec 10, 2018


ในวันที่แลมโบกินี่สีเขียวคันนั้นจมน้ำบนถนนที่เปลี่ยนตัวเองเป็นคลอง ในมหานครที่ชื่อว่า “กรุงเทพฯ” ผมจำได้ว่ามี เพื่อนๆบนเฟซบุ๊คของผมหลายคน บ่นว่า รถโค-ตรติด บางรายได้แห้งคาพวงมาลัยที่ห้าแยกลาดพร้าว ขณะที่ อีกหลายคนถูกสต๊าฟติดกับถนนสุขุมวิท ส่วนผมนั่งกระดิกตีนที่พาดอยู่บนโต๊ะทำงาน ในบ้านอันแสนอบอุ่น (ที่เปลี่ยนพื้นกระเบื้องเป็นทางน้ำไหลในบางครั้ง-บางคราว)

ณ ขณะนั้น ผมคิดว่า มันเป็นความโชคดีแท้ ที่สามารถมีชีวิตรอดพ้นจากวงจรอุบาทว์นั้นได้

มาถึงปีนี้ผมออกจากบ้านบ่อยกว่าปีก่อน เพราะวงการเมืองที่เคยเงียบสงบมากว่า 2 ปี เริ่มมีการเคลื่อนไหว เชื่อว่าเป็นนิมิตหมายที่เกือบดีสำหรับ ประชาธิปไตย และการเลือกตั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน ผมเคยใช้จักรยานพาตัวเองไปทำงานแทนรถยนต์

การใช้จักรยานเดินทางทำให้ผมพบว่า ระยะทาง 18 กิโลเมตรเท่ากัน จักรยานใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง ขณะที่รถยนต์ต้องใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง

“อ้าว ไอ้ห่าใช้เวลาเท่ากันนี่หว่า”

ใช่ครับ มันใช้เวลาเท่ากัน แต่ผมคิดว่า ในความเท่ากันมีความแตกต่างอยู่ข้างใน ผมมองว่า สิ่งที่เราต้องสูญเสียให้กับการขับรถคือ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และสุขภาพจิต ยังไม่รวมถึงค่าเสื่อมสภาพที่เกิดขึ้นในทุกการตกหลุม หรือการห้ามล้อ(เบรค)

สุขภาพจิตนี่เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว ด้วยความที่พ่อของผมสอนให้ขับรถตามกฎอย่างเคร่งครัด(อาจมีบางครั้งที่ทำผิดเพราะ เผอเรอ) ทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าปกติ(ที่ควรจะเป็น)เวลาเจอ นักขับที่ใช้ถนนอย่างไม่แยแสมารยาทหรือกฎเกณฑ์

(พ่อเคยแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เขาสอน ด้วยการยอมขับรถอ้อม ในครั้งที่ตัวเองเผลอขับเลยท้ายแถวของทางออกสู่ถนนคู่ขนาน แม้จุดที่เผลอจะยังไม่ใช่เส้นทึบก็ตาม เขาบอกกับผมว่า ด่าเขาทุกวัน แล้วจะมาทำบ้างคงไม่ได้ หน้าด้านไม่พอ ยอมไปทำงานสาย ซึ่งผมก็สายด้วย อ้าว)

ส่วนสิ่งที่เราสูญเสียจากการถีบจักรยาน คือ พลังงาน และเหงื่อ เป็นการสูญเสียที่ เหมือนจะไม่สูญเสีย

ผมคิดว่า สิ่งที่ได้กลับมาจากการถีบจักรยานไปทำงานคือ การออกกำลังกาย ระยะทางไป-กลับ 36 กิโลเมตร น่าจะพอทำให้สุขภาพผมดีขึ้น ผมผลักธุระส่วนตัวที่เดิมต้องทำที่บ้าน ไปทำทุกอย่างที่สำนักงาน ทั้งการอาบน้ำ กินอาหาร และขับถ่าย

ผมพบว่า การถีบจักรยานเป็นการฝึกสมาธิ เพราะต้องจดจ่อกับรถบนท้องถนน แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ผมมีโอกาสได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย สมองมีความเครียดน้อยกว่าการขับรถยนต์ จะแย่กว่าหน่อยก็วันที่ฝนตก หรือวันที่ต้องกลับดึก ซึ่งมันดูเหมือนว่า จะมีอันตรายมากกว่าวันปกติ

(หัวหน้าเคยให้ผมจอดจักรยานไว้ที่ออฟฟิศ แล้วนั่งแท็กซี่กลับ เพราะเห็นว่า เวลานั้นดึกเกินกว่าจะปั่นจักรยานไปบ้าน)

สำหรับคำถามจากความเป็นห่วงของเพื่อนและหัวหน้าถึงความปลอดภัยในการเดินทางด้วยจักรยาน

ผมบอกพวกเขาว่าไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะ

ผมรู้สึกได้ว่า รถยนต์เกรงใจจักรยานมากกว่ามอเตอร์ไซค์ บนถนนรามอินทรา และเกษตร-นวมินทร์ที่ผมใช้ปั่นไปทำงาน รถยนต์ค่อนข้างมีน้ำใจกับจักรยาน ไม่ค่อยพบการปาดหน้า บีบแตรข่มขู่ หรือเปิดไฟสูงไล่หลัง จะมีสถานการณ์ลำบากก็เป็นการหยุดอย่างกระทันหัน แต่จักรยานมีระยะเบรคที่สั้นกว่ามอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์อยู่แล้ว ทำให้รู้สึกสบายๆ

ปัจจุบัน ผมไม่สามารถถีบจักรยานไปทำงานได้สะดวก เพราะโดยภาระหน้าที่แล้ว ผมจำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ เครื่องอัดเสียง และกล้องถ่ายรูปติดตัวตลอดเวลา ครั้นจะพกอุปกรณ์ทั้งหมดไปกับจักรยานคงจะไม่สะดวกนัก

การปั่นเลยกลายเป็นแค่งานอดิเรก สันทนาการ เป็นการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนซะมากกว่า

เดี๋ยวนี้ ในวันที่ผมต้องขับรถออกไปทำงานในเมือง (กรุงเทพฯชั้นใน) ผมต้องเผื่อเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ทั้งๆได้จ่ายค่าผ่านทางพิเศษนานาชนิดแล้วก็ตาม การจราจรของกรุงเทพฯใน ปัจจุบันสมัย ค่อนข้างวิปริต เดาใจไม่ได้ และไม่น่าอภิรมย์

ยิ่งถ้าวันไหนต้องออกจากบ้านในเวลาเร่งด่วน นอกจากจะต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าตรู่กว่าเวลาที่ควรออกจริง เพื่อหนีรถติดในซอยแล้ว ผมยังต้องเสียค่าทางด่วน ซึ่งมีราคาสูงกว่าค่าอาหาร 3 มื้อซะอีก

สูญเสียไปเท่าไหร่แล้วกับคำว่ารถติด


Fit : ข้อเขียนสุขภาพ ที่อาจมีคำหยาบปะปน

รูปและเรื่อง : Gengo Serkinov. ชื่อรัสเซีย กินเบียร์ต่างน้ำ นักข่าวบ้ากาม ตามข่าวไม่ทัน

5 views0 comments

Comments


bottom of page